Push System (ระบบผลัก) หรือที่รู้จักกันดีในชื่อของระบบการวางแผนความต้องการวัตถุดิบ (MRP) ซึ่งการวางแผนเรื่องการไหลเวียนของวัสดุคงคลังในระบบ ซึ่งเริ่มจากมีความต้องการของลูกค้าเข้ามาเป็นอันดับแรก (Customer Demand) หลังจากนั้นความต้องการของลูกค้าจะเป็นตัวกำหนดช่วงเวลา และปริมาณการป้อนวัตถุดิบเข้าสู่ระบบการผลิต ตัวอย่างเช่น ฝ่ายการตลาดทำการพยากรณ์ความต้องการของลูกค้า ส่งต่อให้ฝ่ายว่างแผนในการกำหนดยอดการผลิต ส่งต่อไปยังฝ่ายผลิตเพื่อทำการผลิตสินค้า จากนั้นฝ่ายผลิตส่งเข้าคลังสินค้า และส่งต่อลูกค้า
Pull System (ระบบดึง) หรือที่รู้จักกันดีในชื่อของระบบ Just In Time ซึ่งเป็นระบบที่ชิ้นงานจะถูกส่งต่อไปยังกระบวนการถัดไปก็ต่อเมื่อกระบวนการนั้น ๆ มีความต้องการเกิดขึ้น โดยจะเริ่มจากระบบได้รับความต้องการของลูกค้าเข้ามาก่อน ซึ่งจะมีความแตกต่างจากระบบผลักตรงที่ว่าความต้องการลูกค้านั้นจะเข้ามาที่กระบวนการผลิตขั้นตอนสุดท้าย ตัวอย่างเช่น ในสายการผลิตซึ่งจะต้องทำการเจาะชิ้นงาน แล้ว่งไปตัด แผนกเจาะจะทำการเจาะชิ้นงานให้พอกับความต้องการของแผนกตัดเท่านั้น นั้นคืออุปทานจะเกิดขึ้นเมื่อมีอุปสงค์มาดึง